วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

1 ทอง 11 เงิน 7 ทองแดง ของภาคใต้ ผลงานเด็กบัยตุลฯ

เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา บัยตุลฯได้ร่วมการแข่งขันจิตคณิตในเขตภาคใต้ซึ่งจัดโดยไดมอนด์แบรนด์ ซึ่งจัดที่ ศูนย์ประชุมนานาชาติฯ หาดใหญ่ โดยมีเด็กๆเข้าร่วมทั่วภาคใต้จำนวน 3200 คน
โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ทางบัยตุลฯเข้าร่วมและได้มาทั้งสิ้น
1 เหรียญทอง
11 เหรียญเงิน
7 เหรียญทองแดง

ผู้ได้เหรียญมีดังนี้ 
โดย 1 เหรียญทอง เป็นของ 
ดช. นาอีม มหินทราภรณ์ ป.1
116 คะแนน(เต็ม 120)
 
ในการแข่งขันครั้งนี้ทำให้เราได้ประสบการณ์อันดีที่จะนำมาพัฒนาตัวเองและเด็กๆของเราต่อไป
ทาง รร ขอแสดงความยินดีๆแก่เด็กๆที่ไปเข้าร่วมแข่งขันทุกคน ฝึกฝีมือดี ปีหน้าไปกันใหม่

โดนใจคอเกมส์ เมื่อโรงเรียนในนอร์เวย์เพิ่มหลักสูตร"เกมส์" แทนวิชาพละ


ประเทศนอร์เวย์เพิ่มทางเลือกรูปแบบการสอนนักเรียนแบบใหม่ ด้วยการทดสอบหลักสูตร E-Sport เพิ่มการเล่นเกมเป็นคาบเรียนเฉพาะกิจแทนการเรียนวิชาพละ
ในเดือนสิงหาคมนี้ ประเทศนอร์เวย์จะนำหลักสูตร E-Sport มอบให้โรงเรียนนำร่องอย่าง Garnes High School นำหลักสูตร E-Sport มาบรรจุ เพื่อสอนการเล่นเกมให้แก่นักเรียน โดยจะทดสอบสอนจริง ซึ่งวิชาดังกล่าวจะลองเข้ามาแทนคาบพละศึกษาชั่วคราวเพื่อวัดผล และจะผลักดันหลักสูตรดังกล่าวไปยังโรงเรียนแห่งอื่นๆ ด้วย เช่น ในโรงเรียนเพื่อนบ้านนอร์เวย์และโรงเรียนในประเทศสวีเดน
โดยในปี 2016-2017 นักเรียนในโรงเรียน Garnes High School จะสามารถลงทะเบียนและเข้าเรียนในคลาส E-Sport ได้ ซึ่งห้องเรียนนำร่องนี้จะเปิดรับนักเรียนระดับไฮสคูลในนอร์เวย์เพียง 30 คนเท่านั้น และถ้าห้องเรียน E-Sport ประสบความสำเร็จในการเปิดสอน ทางโรงเรียนก็จะทำแผนเพื่อขยายคลาส E-Sport สำหรับนักเรียนทุกคน
เนื่องจากในปัจจุบัน วงการ E-Sport ในประเทศนอร์เวย์ได้รับการยอมรับมากขึ้น หลักสูตร E-Sport จึงได้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาให้ประชากรเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลว่าคลาส E-Sport จะทำให้นักเรียนนั่นอยู่ในห้องเล่นเกมตลอดทั้งวันหรือไม่ ซึ่งด้านผู้ออกแบบหลักสูตร E-Sport เปิดเผยว่า หลักสูตรดังกล่าวไม่ได้ให้นักเรียนนั่งเล่นเกมเพียงอย่างเดียว แต่จะให้ครูผู้ฝึกสอนจะต้องสอนการเสริมสร้างทักษะการออกกำลังกาย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านร่างกายและจิตใจของนักเรียนให้ควบคู่กันไปด้วย
นอกจากนี้ในคาบยังจะมีการวิเคราะห์กลยุทธ์ในการแข่งขัน E-Sport รวมถึงการฝึกให้นักเรียนรู้จักการร่วมมือกันเป็นทีม นักเรียนที่เข้าร่วมจะต้องออกกำลังกายเพื่อให้มีปฏิกิริยาที่ฉับไว มีสมาธิแน่วแน่ และมีสภาพความอดทนต่อแรงกดดัน ซึ่งการฝึกเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเตรียมเข้าแข่งทัวร์นาเมนท์ E-Sport ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ เกมที่จะนำที่ได้รับความนิยมมาประกอบหลักสูตร ซึ่งมีตั้งแต่ Starcraft II,Counter-Strike: Global Offensive,Dota 2 และ League of Legends
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/world/315297.html
รูป :  https://upic.me/i/jv/bakgrunn_utsnitt.jpg

เด็กนักเรียน อ 2 บัยตุลฯ บางคนอ่านออกนะครับ

โดยระบบที่เราสอนนั้น
อ 1 จะรู้จักตัวอักษร
ก อ่านว่า กอ
ส อ่านว่า สอ
ะ อ่านว่า อะ
า อ่านว่า อา
พอ อ 2 พวกเด็กๆก็จะรู้การผสมเบื้องต้น เช่น กา อ่าน กา ปี อ่านปี
และ อ 3 เด็กก็จะได้ผสมคำคือ กะทิ อ่าน กอ อะ กะ ทอ อิ ทิ = กะทิ
.
แต่บางคน(ไม่ทุกคน)จะสามารถเอาคำเบื้องต้นได้อย่างที่เห็นครับ
โดยจริงๆเราไม่เร่งให้ อ 2 อ่านได้เพื่อไม่ให้เด็กเครียดไป เด็กๆส่วนใหญ่จึงอ่านได้ใน อ 3
แต่อย่างที่เห็นด้วยระบบที่เปิด เด็กๆราวๆ 10-20% ก็ทำได้เกินที่เราตั้ง
.
น้อง 2 คนคือ
ดช อาลีฟ ยะแนสะแม
ดญ นินูรฮานีฟาห์ นิสะแม
ชั้น อนุบาล 2 ร.ร. บัยตุลอูลามาอ์ ห้อง ครูยา

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

เผย "9 อาชีพวิทยาศาสตร์" ที่กำลังขาดแคลน

9อาชีพวิทยาศาสตร์
 
     องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์จัดคาราวานสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กเรียนวิทย์ฯ เผย 9 อาชีพขาดแคลนหนัก ถึงขั้นนำเข้าจากต่างประเทศ เหตุคนไทยไม่รู้ มีอาชีพแบบนี้ด้วย
 
เผย 9 อาชีพวิทยาศาสตร์ ท

     นายสาคร ชนะไพฑูรย์ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาประเทศ แต่มีงานหลายสาขามากที่ประเทศยังขาดแคลนบุคลากรที่จะเข้ามาทำงาน ยังต้องใช้บุคลากรจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้คนไทยขาดโอกาสการเรียนรู้ในสาขางานนั้นๆ และขาดโอกาสการพัฒนางานในอนาคต นอกจากนี้มีวิชาด้านวิทยาศาสตร์หลายสาขาที่เปิดให้มีการเรียนการสอน แต่นักศึกษาไม่ตัดสินใจที่จะเข้าไปเรียน เพราะเรียนแล้วไม่รู้จะนำไปประกอบอาชีพอะไร เช่น เรียนสาขาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ก็ไปเป็นครู ทั้งๆที่มีงานอื่นที่ขาดแคลน และเด็กเหล่านี้ก็ยังไม่รู้อีกมากมาย

     อพวช. จึงร่วมมือกับบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด และสถาบันคีนันแห่งเอเชีย กำลังจะมีนิทรรศการภายใต้โครงการ "Enjoy Science : สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต" นำเสนออาชีพที่เกี่ยวข้องกับทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สังคมอาจจะไม่รู้จัก แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับมีบทบาทที่สำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย 1.นักคิดค้นยา หรือนักเคมีปรุงยา ที่บ้านเราขาดแคลนอย่างหนัก ทั้งๆ ที่เราผลิตยาปีละนับแสนล้านเม็ด 2.นักปรับปรุงพันธุ์พืช 3.นักนิติวิทยาศาสตร์ 4.นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร 5.นักวิทยาศาสตร์ด้านเครื่องสำอาง 6.นักธรณีวิทยาปิโตเลียม โดยเวลานี้บุคลากรส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ 7.นักออกแบบผลิตภัณฑ์ 8.นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และ 9.นักออกแบบและสร้างภาพเคลื่อนไหว อาชีพเหล่านี้หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีในประเทศไทย

     รักษาการผู้อำนวยการ อพวช.กล่าวว่า นอกจากอาชีพที่กล่าวมาแล้ว งานด้านวิทยาศาสตร์ที่เด็กไทยจะต้องทราบว่ามีอาชีพแบบนี้อยู่ ละยังขาดแคลนคนทำจำนวนมาก เช่น งานที่ต้องทำเกี่ยวกับการขนส่งระบบราง วิศวกรรมทางด้านราง และระบบความเร็วของรถ เพราะในอนาคต ประเทศไทยกำลังจะพัฒนาระบบราง ต้องการบุคลากรด้านนี้จำนวนมาก หรืออาชีพเกษตรกร ที่เรียกว่าเกษตรสั่งตัด คือนักวางแผนการปลูกพืชแบบเตรียมการรองรับทุกระบบ ทั้งเรื่องพื้นที่ ดิน ปุ๋ย การเก็บเกี่ยว ตลาด และการจำหน่าย

     ซึ่งตัวนิทรรศการที่จะจัดขึ้นนั้น จะมีการนำบุคลากรที่อยู่ในอาชีพนั้นจริงๆ ไปบอกกล่าว เล่าเรื่องให้เด็กๆที่มาชมนิทรรศการได้รับรู้ว่างานที่พวกเขาทำนั้น ทำอะไรบ้าง สำคัญอย่างไร และงานนี้จะมีทั้งความสนุกสนาน ความรู้ และการท้าทายความสามารถมากมาย โดยคาราวานวิทยาศาสตร์นั้น อพวช.จะจัดให้มีขึ้นทั่วประเทศตลอดทั้งปี 2559 จุดประสงค์สำคัญคือ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ เพื่อมาเรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศชาติกำลังขาดแคลนอย่างหนักเวลานี้

ยังไงก็อย่าละเลยความสำคัญของอาชีพเหล่านี้กันนะคะ เพื่อจะได้พัฒนาประเทศชาติของเราต่อๆไป


Credit : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452573444

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

การ์ตูนสั้น "กื้ด : ชีวิตเด็กโรงเรียนนานาชาติ(พันธุ์)





  
จาก https://www.facebook.com/media/set/?set=a.1023024114384279.1073741880.361507353869295&type=3




 

สิงค์โปร์ซิวมัธยมปลายเลิศที่สุดในโลก เวียดนามแซงโค้ง ไทยหล่นอยู่ที่ 47

(18 พ.ย.58) นายภาวิช ทองโรจน์  อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า  เมื่อเร็วๆนี้ Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ได้เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Universal Basic Skills What Countries Stand To Gain  ซึ่งได้วิเคราะห์และจัดลำดับการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ใน 76 ประเทศทั่วโลกพบว่า 20 ประเทศที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ดีที่สุดได้แก่ 
1. ประเทศสิงคโปร์  
2. ฮ่องกง 
3. เกาหลี  
4. ญี่ปุ่น 
5. ไต้หวัน  
6. ฟินแลนด์ 
7. เอสโตเนีย  
8. สวิตเซอร์แลนด์ 
9. เนเธอร์แลนด์ 
10. แคนาดา 
11. โปแลนด์  
12. เวียดนาม 
13. เยอรมนี 
14. ออสเตรเลีย  
15.ไอร์แลนด์ 
16. เบลเยียม 
17. นิวซีแลนด์ 
18.สโลวีเนีย 
19. ออสเตรีย 
และ20. อังกฤษ  
 
โดยที่น่าจับตามองคือประเทศเวียดนาม ที่อยู่ในอันดับที่ 12 ขณะที่ประเทศไทย ตกไปอยู่อันดับที่ 47  ดีกว่าประเทศมาเลเซียอยู่ไม่มากนักและเชื่อว่า อีกไม่นาน ประเทศมาเลเซียจะพัฒนาการศึกษาขึ้นมาได้เทียบเท่ากับประเทศไทย เพราะขณะนี้ประเทศมาเลเซียอยู่ระหว่างเร่งปฏิรูปการศึกษาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ

นายภาวิช กล่าวต่อว่าผลการจัดอันดับดังกล่าวเป็นการนำข้อมูลการทดสอบทั้ง โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) และการสอบภายในประเทศ อาทิ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต มาวิเคราะห์ และนำมาจัดอันดับ ทั้งนี้ผลที่ออกมาไม่เป็นที่น่าแปลกใจนัก เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดอันดับการจัดการศึกษาในระดับนานาชาติของหน่วยงานอื่น ก็พบว่าไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายเท่ากับว่าการพัฒนาของเราหยุดนิ่งขณะที่ประเทศอื่น ๆ กำลังเดินไปข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ทางเศรษฐกิจ ทั่วโลกจะมองข้ามประเทศไทย โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมหลักหลายประเภทที่เคยมีฐานการผลิตในประเทศไทย เริ่มย้ายฐานการผลิตไปในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ดังนั้นจึงควรหันกลับมาเร่งพัฒนาการจัดการศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะนโยบายการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ของพล.อ.ดาว์พงษ์  รัตนสุวรรณ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ไม่ว่ารัฐบาลจะบอกว่า ประชาชนเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว แต่ถ้าไปสอบครูในพื้นที่ จะพบว่าส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม เพราะยังเน้นจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาวิชาเป็นหลัก

“โดยหลักการแล้ว เราเห็นด้วยว่า เด็กไทยทุกวันนี้เรียนมากเกินไป แต่การลดเวลาเรียนต้องทำอย่างเป็นระบบ แบบค่อยเป็นค่อยไป  เพราะหลักสูตรปัจจุบันจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเนื้อหาสาระเป็นหลัก ดังนั้นการปรับลำดับแรกจึงควรสร้างหลักสูตรใหม่ ที่ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา และจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาที่เรียน โดยบางวิชาที่เคยเรียนในห้องเรียน ก็สามารถนำมาจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนได้ อาทิ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยที่ผ่านมาผมได้จัดทำหลักสูตรใหม่ ที่ลดเวลาเรียนลงเหลือ 660 ชั่วโมงต่อปี รวมถึงมีตัวอย่างกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาเรียน เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อนำมาปรับใช้แล้ว แต่คิดว่า ขณะนี้สพฐ.เองคงยังไม่กล้านำหลักสูตรที่ผมเสนอไปมาดำเนินการ” นายภาวิช กล่าว



MatichonOnline

6 เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน

ใกล้สอบแล้วอีกราวๆ 1-2 เดือนก็จะสอบแล้วมาดูวิธีเตรียมตัวเพื่อสอบกัน
.
เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญสำหรับคุณ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ..  มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง

1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ

2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่

3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า “เราจะเป็นพยาบาล” จะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า “ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬา” อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน

 
4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม

5.เริ่มลงมืออ่าน หนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง

6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที

จาก https://blog.eduzones.com/rangsit/91157